เทศน์พระ

ใจแตก

๑๔ ส.ค. ๒๕๕๘

 

ใจแตก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจนะ ตั้งใจคือสติ ถ้าขาดสติมันไม่ตั้งใจ ถ้าขาดสติมันเหลวไหล ถ้าตั้งใจแล้วสติเรามา ขอสติมาอยู่ตัวเรา พอสติมาอยู่ตัวเรา เห็นไหมเวลาสามเณรน้อยสอนโปฐิละ ให้เปรียบร่างกายนี้เหมือนจอมปลวก ให้ปิด เห็นไหม ให้ปิดทวารทั้ง ๕ ให้เปิดไว้เหลือ ๑ ทวาร เปิดหัวใจไว้รอจับเหี้ยตัวนั้น ถ้าเราตั้งใจเห็นไหม เราตั้งสติ ร่างกายนี่เหมือนจอมปลวก เราจะปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดหัวใจไว้ เปิดหัวใจไว้เพื่อฟังธรรม

ฟังธรรมนะ ฟังธรรมจะมีค่าหรือไม่มีค่ามันอยู่ที่คุณสมบัติที่ใจของเรา ถ้าใจของเรามีค่านะ สัจธรรมนั้นจะมีคุณค่ามหาศาลเลย แต่ถ้าใจของเราเหลวไหล ใจของเราชั่วช้า ธรรมะอันนั้นเลวทราม มันไม่มีค่า มันไม่มีค่าเพราะใจเรามันเลวทราม เพราะใจเลวทรามมันเห็นสิ่งใดไม่มีค่าหมดเลย เพราะใจเราเลวทราม ใจเราไม่มีค่าแล้วอย่างอื่นจะไม่มีค่าไปหมดเลย

แต่ถ้าใจเรามีค่านะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาหัวใจที่มีค่า เห็นไหม สรรพสิ่งในโลกนี้มีค่าหมดเลย ครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่ฝั้นเนี่ย เวลาท่านถ่ายอุจจาระ พวกโยมอุปัฏฐากเขาขอให้เก็บอุจจาระนั้นไว้ให้เขานะ ขี้ของคนมันเหม็น แต่ขี้ของพระอรหันต์มันหอม มีคนเขาขอให้เก็บไว้ เขาจะเอาไปบูชา

นี่ไง ถ้าใจของคนมันดีงาม สรรพสิ่งในโลกนี้จะมีคุณค่า ถ้าจิตใจของเราเลวทราม แม้แต่สัจธรรมนั้นมันก็ฟังไม่ออก สัจธรรมนั้นมันเหยียบย่ำ มันทำลาย เวลาหลวงตาท่านพูดไง “ไอ้พวกหมาบ้า” เอาธรรมะมาล้อเล่นกัน เอามากัดเอามาฉีกกันไง พวกหมาบ้า หมาบ้ามันกัด มันขบ มันไม่มองหน้าใครเลย มันไม่รู้จักสิ่งใดมีคุณค่าและสิ่งใดไม่มีคุณค่า หมาบ้ามันไม่มีสติ มันจะขบจะกัดเขาไปทั่ว ให้พิษภัยของมันเที่ยวทำลายให้คนเสียชีวิต เห็นไหม นี่พวกหมาบ้า นี่หมาบ้านะ

เวลาเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาล้อมาเล่น มาเหยียบมาย่ำ มาทำลายไง แต่ถ้าคนที่เขามีสติมีปัญญา เห็นไหม หลวงตาท่านเล่าว่า เจอหลวงปู่มั่น เวลาท่านจะไปอยู่ที่ไหน แม้แต่หนังสือตัวอักษร ถ้าวางอยู่ต่ำกว่าท่าน ท่านจะไม่ยอมนั่งเลย เพราะว่าท่านบอกว่า อักษรทุกๆ ชนชาติทุกภาษา สามารถสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

สิ่งที่เป็นสื่อความหมายท่านยังเคารพบูชาขนาดนั้น แล้วสัจธรรมทำไมท่านจะไม่เคารพบูชา เคารพบูชามันเคารพบูชาจากหัวใจของท่านไง เพราะหัวใจของท่านท่านถึงสัจธรรมอันนั้น เห็นไหม มันมีคุณค่าอย่างนั้น ท่านถึงเคารพบูชาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรม กราบธรรมไง

สัจธรรมนี้มันมีคุณค่ามากเลย แต่จิตใจของเรามันโดนอวิชชาครอบงำ จิตใจของเรามันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แม้แต่ตัวมันเองยังไม่รู้จักตัวมันเอง เห็นไหม ตัวมันเองไม่รู้จักตัวมันเองเพราะมันทำสมาธิไม่เป็นไง ถ้ามันทำสมาธิเป็นมันจะรู้จักตัวของมันเอง เพราะตัวเองนี่สัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น นั่นคือตัวจิต นั่นคือตัวตนของเรา

แต่มันเกิดมา เกิดในวัฏฏะ เห็นไหม เกิดในกำเนิด ๔ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ โอปปาติกะ กำเนิดมาแล้วยังไม่รู้จักตัวเอง รู้แต่สถานะไง สถานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดได้สถานะนั้นก็รู้ได้แค่สถานะนั้น

เวลาฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบใจของเขาได้ เขายังย้อนอดีตชาติได้ การย้อนอดีตชาติได้คือย้อนจากจิตดวงนี้มันเกิดมาจากไหน มันเป็นยังไงมามันถึงมาปัจจุบันนี้ไง แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้เขาแก้ไขไม่ได้ เขาทำอะไรไม่เป็นไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณรู้กำเนิดว่าจิตนี้มาจากไหน จุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณมันเกิดมันเกิดอย่างไร แล้วถ้ามันอาสวักขยญาณมันชำระล้างอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์

เรานี่เราปรารถนามารื้อค้นตัวเราเองไง เราปรารถนามาเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อสิ้นกิเลส เพื่อพ้นจากทุกข์ไง ให้หัวใจนี้พ้นไปจากทุกข์ ถ้าพ้นไปจากทุกข์นี่ เห็นไหม เราไม่ต้องไปรื้อสัตว์ขนสัตว์หรอก รื้อตัวเองนี่แหละ ค้นคว้าตัวเองนี่แหละ เอาตัวเองให้รอดให้ได้ ตัวเราเองนี่ ค้นคว้าตัวเราเองนี่ บวชเรียนมาบวชเรียนมาก็เพื่อเหตุนี้ไง บวชเรียนมาบวชเรียนมาเพื่อหวังพ้นจากทุกข์ไง เกิดมาไม่รู้สิ เกิดมาในวัฏฏะ เกิดเป็นทารกมาพ่อแม่ก็เลี้ยงมาทั้งนั้น พ่อแม่จะเลี้ยงมาสูงส่งขนาดไหนต่ำต้อยขนาดไหน ก็พ่อแม่เราทั้งนั้น

พ่อแม่เลี้ยงดูเรามา เห็นไหม เกิดในวัฏฏะ เกิดในวัฏฏะ เห็นไหม เรามีพ่อแม่เป็นแดนเกิด เรามาบวชพระขึ้นมา บวชขึ้นมาเพื่อค้นคว้าหาตัวเองให้มีสัจธรรมในหัวใจ นี่ให้เข้าถึงธรรม ให้เข้าถึงธรรมไง เราค้นคว้าเพื่อเหตุนี้ เรามาบวชเพื่อเหตุนี้ พอบวชมาเพื่อเหตุนี้ เรามาบวชเป็นพระแล้ว เห็นไหม บวชเป็นพระแล้วอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา ญัตติจตุตถกรรมสงฆ์ยกเข้าหมู่มาเป็นสงฆ์ๆ บวชมาเป็นสงฆ์เห็นไหม มันก็สิ่งที่มีชีวิต บวชแต่ร่างกายมันยังไม่ได้บวชหัวใจ ถ้าบวชร่างกายมา เราเป็นพระโดยสมบูรณ์ เห็นไหม เป็นพระโดยสมบูรณ์ เราเลือกเฟ้นเอง อยากหาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ อยากหาสำนักที่ประพฤติปฏิบัติ เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ นี่บวชมาแล้วต้องมาประพฤติปฏิบัติไง เวลาบวชมา บวชมาสำเร็จมาเป็นพระโดยญัตติจตุตถกรรม โดยธรรมและวินัย มันบวชมาโดยธรรมวินัยแต่หัวใจมันยังไม่ได้บวชไง ถ้าหัวใจมันยังไม่ได้บวชกิเลสมันยังไม่ได้ฆ่าไง เวลาเขาบวชหัวใจเขามาฆ่ากิเลสไง

การฆ่ากิเลสมันก็ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีความจริงของเราเพื่อมาค้นคว้า เพื่อมามีสัจธรรมในหัวใจ มันต้องมีการกระทำ ถ้ามีการกระทำ ชีวิตของเรามันถึงต้องบิณฑบาตเป็นวัตร เห็นไหม บวชมาแล้ว บวชมาแล้วก็พระภิกษุบวชใหม่ทนคำสอนไม่ได้ คำสอนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันใส มันสะอาด มันบริสุทธิ์ไง

แต่เราเคยชินกับกระแสสังคมไง เราเคยชินกับฆราวาส ฆราวาสธรรมๆ เราเคยชินกับความเป็นไปของโลก การสรรเสริญ การเยินยอ เวลาโลกเขา เห็นไหม ใครมีคุณงามความดี ทำสถิติแล้วส่งขอคุณงามความดีกัน ใครๆ ก็อยากมีคุณงามความดี อยากได้เครื่องราชฯ อยากได้ทุกๆ อย่าง เห็นไหม บวชเป็นพระมาก็อยากได้สมณศักดิ์ สมณศักดิ์ก็วิ่งเต้นหาคุณงามความดี สะสมความดี แย่งชิงความดีเอา ๒ ขั้น ๕ ขั้น ๘ ขั้น เอาไปอวดกัน แล้วไปขอคุณงามความดีกัน

นั่นน่ะ นี่กระแสสังคม กระแสโลก มันเป็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม นี่เราบวชมาแล้ว เราบวชมา นี่สิ่งที่เราบวชมาแล้วบิณฑบาตเป็นวัตร เราถือธุดงควัตรมาขัดเกลากิเลสของเรา เราทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อตัวตนของเรา เพื่อหัวใจของเรา ค้นคว้าหาตัวเองให้เจอไง ถ้ามันค้นคว้าหาตัวเองเจอ เห็นไหม นี่สัจธรรมมันเกิดที่นี่ไง นี่เราบวชมาเราบวชมาโดยญัตติจตุตถกรรม แต่ยังไม่ได้บวชหัวใจไง

ถ้าเราบวชหัวใจ มันจะบวชหัวใจด้วยมรรคไง ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรของเรา ความเพียรชอบ ความชอบ ความอุตสาหะ ทำเพื่อมาเหตุนี้ไง ถ้าเพื่อเหตุนี้ ดูสิ ชีวิตทางโลกเขาเป็นทุกข์ ทำมาหากินก็เป็นทุกข์ หน้าที่การงานก็เป็นทุกข์ อาบเหงื่อต่างน้ำเป็นทุกข์ทั้งนั้น เวลามาบวชแล้ว บวชแล้วนั่งสมาธิภาวนาเป็นทุกข์ไหมล่ะ? ถ้าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุใด?

เป็นทุกข์มันก็ย้อนกลับไป ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของเราเป็นอย่างไร เวลาเราบวชมา เห็นไหม นี่วิบัติ ๔ มันมีวิบัติ มีคุณสมบัติ มันวิบัติ มันทำไปแล้วมันขาดตกบกพร่องไง แล้วมันเป็นเพราะเหตุใด พอบวชมาแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของเรามันบริสุทธิ์ไหม ถ้าศีลของเราไม่บริสุทธิ์ มโนกรรมเวลามันคิดมันจินตนาการไป มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เราทำความจริงไหม ถ้าไม่เป็นความจริง มโนกรรม เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิไง

ถ้าเป็นความจริง ทุกคนบวชมาแล้วก็หวังพ้นจากทุกข์นะ เวลาคิดทุกคนคิดได้ ทุกคนคิดดีได้ คิดดีแล้วทำดีได้หรือเปล่า? คิดดีมันก็ควรทำคุณงามความดี ถ้าความดีของเราทำเพื่อประโยชน์กับเราเอง แต่เราจิตใจมันหยาบ มันไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ดีจริงหรือดีไม่จริงมันมองไม่ออก มันรู้ไม่ได้นะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เห็นไหม ภิกษุผู้เฒ่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปก็ดีแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ ทำสิ่งนั้นก็เป็นอาบัติ ทำสิ่งนี้ก็เป็นอาบัติ ทำอะไรก็ไม่ได้ ผิดไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วพวกเราจะได้อยู่สุขอยู่สบายกันเสียที ต่อไปนี้ไม่มีคนจ้ำจี้จ้ำไชเราแล้ว ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชแล้วอยากมีความสุข”

พระกัสสปะได้ยินแล้วมันเศร้าใจ พระกัสสปะเป็นผู้ได้ยิน ได้ยินคำพูดอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึ่งนิพพานไปเดี๋ยวนี้เอง สัทธิวิหาริกทำไมมีความคิดอย่างนี้ แล้วถ้าปล่อยไปมันจะไม่วุ่นวายไปมากกว่านี้เหรอ เลยตั้งใจคิดว่าจะทำสังคายนาไง ไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

นี่ไง ภิกษุผู้เฒ่า อยากอยู่สะดวกอยากอยู่สบาย อยากจะทำได้ตามใจตัว ไม่มีขอบมีเขต แต่ถ้ามีขอบมีเขตเรากล้าหาญ กล้าหาญในธรรมวินัยไง เพราะธรรมวินัยนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางไว้

ดูสิ เราทำอย่างใดก็ได้ทำแต่ใจเรา แล้วก็มานั่งสมาธิภาวนา เมื่อกี้นี้ไปพูดถากถางใครไว้ก็ไม่รู้ เมื่อกี้ไปเหยียบย่ำใครมาก็ไม่รู้ แล้วพอมานั่งสมาธิขึ้นมา เอ๊ะ! เมื่อกี้ทำถูกหรือทำผิด หัวใจมันไม่มีเอกภาพ มันไม่นิ่ง แล้วนั่งสมาธิมันจะมานิ่งอย่างไร เวลาพูดจาถากถางใครไปก็เพื่อความเอาชนะคะคานกัน เวลาพูดจบแล้วจะมานั่งภาวนา พูดไปแล้วมันจะมีผลกระทบไหม พูดไปแล้วมันจะดีไม่ดีนี่ มันกลับมาทำลายตัวเองทั้งนั้นเลย

แล้วถ้าทำคุณงามความดีนะ เราสงบระงับ เรารักษาหัวใจของเรา เราดูแลของเราด้วยความปกติของใจใช่ไหม เวลามานั่งสมาธิภาวนามันก็ง่ายขึ้น เห็นไหม นี่ไง ทำเพื่อใคร ก็ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้มันไม่มีสิ่งใดคอยมาโต้แย้ง มันทำสิ่งใดมันก็ทำสะดวกขึ้น ถ้าทำสิ่งใดก็มีแต่ความคิดมาโต้แย้งมันจะสงบระงับได้ยังไง นี่เวลาทำๆ เพื่อตัวเองทั้งนั้น แต่ด้วยความหยาบของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมองไม่เห็น มันมองไม่รู้ อยากจะเหยียบย่ำเขาไปทั่ว อยากจะอยู่บนหัวคน เสร็จแล้วมานั่งสมาธิก็ทำได้ลำบาก

แต่ถ้าเรารักษาใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา นี่ไง ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เห็นไหม นี่ความปกติของใจ ถ้าจะคุยกันจะปรึกษาหารือกันก็ให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน คุยกันให้มันเป็นกิจจะลักษณะ คุยเสร็จแล้วก็จบ เรามีอะไร เราก็ปรึกษาหารือกัน เขาไม่ได้ห้ามไม่ให้พูดกัน แต่ไม่ใช่ให้กิเลสมันสวมรอย จะพูดสิ่งใดก็จะไปเหยียบเขาจะไปย่ำเขา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ก็ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยจี้คอยไช เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วภิกษุผู้เฒ่าก็ดีอกดีใจ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ดีแล้วล่ะ ต่อไปนี้พวกเราได้อยู่สุขอยู่สบายกันเสียที องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ทำโน่นก็ผิด ทำนี่ก็ผิด นั่นก็เป็นอาบัติ นี่ก็เป็นอาบัติ วุ่นวายไปหมดลำบากลำบนมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป เราได้อยู่สุขสบายกันแล้วต่อไปนี้” แล้วสบายจริงหรือเปล่า?

เวลามาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมานะ จิตสงบแล้วจะทำยังไงต่อ จิตไม่สงบก็วุ่นวายฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านไปกว้านฟืนกว้านไฟมาเผาตัวเอง เวลาจิตมันสงบแล้วจะเดินต่อไป ตอนนี้จะคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วล่ะ เวลาจิตสงบ จิตนี้มันจะก้าวเดินเราจะก้าวเดินอย่างไร ไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยแนะคอยบอกมันก็จินตนาการของมันไป จินตมยปัญญาแก้กิเลสไม่ได้ ก็วนเวียนอยู่นั่นล่ะ วนเวียนไปแล้วผลของมันคือเสื่อม

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา นี้คือสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางหลักสัจธรรมอันนี้ไว้ แต่เราไม่รู้ไม่เห็นไปทั้งนั้น เราเข้าไปเฉียดๆ เราก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนู้น ว่าไปตามแต่อารมณ์ของตัวเอง ไม่มีความจริงเลย แต่ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา ผู้ที่มีปัญญาแทงทะลุด้วยปัญญาของตนเองจะรู้แจ้ง

แต่นี่สรรพสิ่งมันเป็นแบบนั้นแต่เราไม่รู้ เราไม่รู้ไม่เห็น เราไม่เป็นความจริง แล้วมองไม่เห็นความจริง เห็นไหม “มันเป็นสมาธิแล้วจะทำอย่างไรต่อ?”

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ อย่างนี้แหละมันจะแสวงหา แล้วเวลาแสวงหามาก็เสียใจ เวลาบอกนะ เราเกิดมาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นิพพานไปแล้ว เราบวชมาแล้วก็ไม่มีคนชี้แนะ เราเหมือนเด็กกำพร้า เราเด็กที่ขาดพ่อขาดแม่เป็นบุคคลเลี้ยงเดี่ยว

ทางโลกเขา เห็นไหม ทางโลกเขาเวลาเลี้ยงเดี่ยว เขาเรียกว่าบ้านแตก เวลาบ้านแตก เห็นไหม แพแตก เวลาแพแตก ดูแพสิ เวลาแพนี่ เขาจะล่องแพเขาต้องไปตัดไม้ของเขา เขาต้องหาวัสดุมาทำเป็นแพ เป็นแพเพื่อล่องน้ำไป เห็นไหม เวลาไปถึงหินโสโครก ไปถึงกระทบกระเทือนกับสิ่งใด นี่เวลาไปสิ่งที่เราผูกมัดมามันหลุด มันแพแตก เราอยู่กลางน้ำ เราอยู่ในที่อันตราย พอแพแตก แพแตกมันวุ่นวายไปหมดล่ะ เราจะต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดให้ได้ ถ้าคนที่เอาชีวิตรอดได้ ขึ้นฝั่งได้ ปลอดภัยไป ถ้าคนเอาชีวิตรอดไม่ได้ ไปกระทบกับก้อนหิน ไปกระทบกับสิ่งใด ไปเจอวังน้ำวนดูดตายเลย นี่เวลาแพแตก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลาแพแตกขึ้นมา เห็นไหม เราบวชมาแล้วไม่มีพ่อไม่มีแม่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว บอกไว้ว่าถ้าผู้ที่เข้ามาบวชอุปสมบทมีอุปัชฌาย์ให้ถืออุปัชฌาย์อาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ของตัว แล้วถ้าอุปัชฌาย์เสียชีวิตไปให้ถืออาจารย์นั้น ขอนิสสัยอาจารย์นั้น ธรรมวินัยบัญญัติเป็นชั้นเป็นตอนมาไง ถ้าพรรษาเราน้อยเราก็ต้องขอนิสสัยครูบาอาจารย์ แล้วถ้าขอนิสสัยแล้วนี่พร้อมที่จะสั่งจะสอนกันจะดูแลกัน นี่มันเป็นขั้นเป็นตอน

ถ้าเป็นขั้นเป็นตอน เราศึกษาแล้วเราซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงมันก็จะเป็นสัจธรรมขึ้นมา เราไม่ซื่อสัตย์กิเลสมันยุมันแหย่ มันทำให้แพแตก ทำสิ่งใดหันรีหันขวางไปหมด ทำสิ่งใดก็ขาดตกบกพร่องไปทั้งนั้นล่ะ แต่กิเลสมันว่ามันสุดยอดนะ มันรู้ธรรมไปหมดนะ ธรรมของใคร ธรรมของกิเลสไง มันไม่ใช่สัจจะความเป็นจริงไง

ถ้าสัจจะความเป็นจริง เริ่มต้นตั้งแต่บวชมา เห็นไหม บวชมาเราเข้าหมู่ เวลาในหมู่สงฆ์ เขาถืออาวุโส ภันเต ใครบวชมา บวชหน้าบวชหลังเขาเคารพบูชากัน แม้แต่หลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ขาวท่านบวชพร้อมกัน แต่นาคซ้ายนาคขวา ท่านก็ยังเคารพเป็นอาวุโส ภันเต

เขาเคารพกันมาโดยหัวใจ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสังฆกรรม มันเป็นวินัยกรรม บวชมาจากอุปัชฌาย์เดียวกัน เวลาบวชมาสงฆ์ยกเข้าหมู่ นั่นตามวินาทีที่บัญญัติมาเลย วินาทีที่เป็นพระ สุณาตุเม ภันเต สังโฆ ญัตติมา นั่นน่ะเริ่มต้นนับตั้งแต่ตรงนั้นเลย แล้วเขาเคารพเขาบูชากัน เคารพบูชาอะไร? เคารพบูชาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้อย่างนั้น

เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ซื่อตรงตั้งแต่ตอนนั้น เห็นไหม มันรวบรวม สิ่งใดวัสดุเพื่อความมั่นคง เห็นไหม หาวัสดุมาผูกมามัดให้เป็นแพเป็นสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของเรา เรามีสติ เรามีสมาธิ เรามีปัญญา ทำสิ่งใดขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา มันก็ทำให้การประพฤติปฏิบัติเราราบรื่น การประพฤติปฏิบัติของเรา ความเป็นจริงของเรา

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการขนาดไหน นั่นเป็นบุคลาธิษฐาน ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านเป็นธรรมนะ สิ่งที่เวลาประพฤติปฏิบัติมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อะไรเป็นสติ อะไรเป็นสมาธิ อะไรเป็นปัญญา ความคิดอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ความคิดอย่างนี้เป็นสุตมยปัญญา ความคิดอย่างนี้เป็นโลกุตรปัญญา นี่ความคิดอย่างไร สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ความคิดอย่างไร เรารู้เราเห็นอย่างไร มันเป็นความจริงอย่างไร เวลาเราปฏิบัติไปมันเจริญงอกงามขึ้นมาอย่างไร มันเป็นจริงขึ้นมาไหม มันมีข้อเท็จจริงในใจของเราหรือเปล่า

เพียงแต่ว่าเราคิดของเรานี่เป็นสัญญา พอสัญญาขึ้นมาเราก็เทียบค่าไปเอง เราแยกหมวดแยกหมู่ ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่เป็นอย่างนี้ แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า มันไม่เป็นจริง เห็นไหม นี่แพแตก เวลาแพมันแตกมันไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย ดูสิ เวลาเขาล่องแพมา เห็นไหม มันไปกระทบหินต่างๆ เวลาแพมันแตก ดูสิ มันจับต้นชนปลายได้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นมาแล้วเราก็คิดของเราเอง เราก็จินตนาการของเราไปเอง แล้วเวลามันเสื่อมนี่หมดเลย นี่ลอยอยู่กลางน้ำ น้ำเชี่ยวด้วย แล้วจะไปไหนชีวิตนี้ คนพยายามถีบตัวเองขึ้นมาจากน้ำวนนั่นน่ะ เอาตัวรอดให้ได้ เวลาแพแตกเอาตัวรอดให้ได้หรือเปล่า?

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เราไม่มีความคิด ดูสิ เวลาคนเขาบวชมา เวลาเขาร้อน เวลาเขาอยู่ไม่ได้เขาสึกไป เห็นไหม ก็ว่าหมดบุญ หมดอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาแม้แต่ผ้ากาสาวพัสตร์ ธงชัยพระอรหันต์ เราได้ห่มได้อาศัย สิ่งนี้ได้ห่มได้อาศัย ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความจริงกับในใจของเรา เป็นจากหัวใจของเราเคารพบูชา แล้วเราทำความเป็นจริงขึ้นมา

ผ้าก็คือผ้า เห็นไหม ดูสิ เวลาผ้าอยู่ตามร้านค้า ดูสิ ในร้านค้า เวลาซื้อมา เห็นไหม ผ้าที่คุณภาพต่ำเขาเย็บได้ไม่ถูกต้องตามวินัย เรายังรังเกียจเรายังไม่อยากใช้สอยเลย แล้วผ้าของเรา เราตัดเย็บของเราขึ้นมา เราทำของเราให้มันเป็นความจริง มันก็เป็นผ้า แต่คนที่มีหัวใจ คนที่มีหัวใจเขาเคารพบูชาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ซักผ้า ย้อมผ้า สุผ้า ตากผ้า เก็บผ้า ดูแลผ้า นี่ไง เราห่มผ้านี่ธงชัยพระอรหันต์ ถ้าศากยบุตรพุทธชิโนรส เห็นไหม เราจะทำของเราขึ้นมาด้วยหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามีคุณธรรมขึ้นมา สิ่งใดที่ทำขึ้นมามันมีค่าไปหมดเลย

นี่ไง เราจะรวบรวมดูแลของเรา ดูสิ เรารักษาบริขารของเรา เราดูแลของเราด้วยสติด้วยปัญญา เห็นไหม เราทำของเราด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเคารพบูชาของเรา มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความอบอุ่น มันเป็นความดีงามไปหมดเลย เราไม่ละทิ้ง เรารักษา เราดูแล เราไม่ปล่อยทิ้ง เห็นไหม บาตรเราก็ดูแลของเรา ข้อวัตรของเราก็เป็นสมบัติของเรา ศีล สมาธิ ของเราก็เป็นสมบัติของเรา

ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราจะไม่ปล่อยให้แพแตก เราจะไม่ลุแก่ความรู้สึกนึกคิด ลุแก่อำนาจโทสะของเรา ลุแก่จินตนาการของเรา ว่ามันถูกต้องๆ ให้มองซ้ายมองขวาว่าเขาทำอย่างนี้จริงหรือเปล่า ที่เขาทำเขามีเหตุผลอะไร ที่เราทำเรามีเหตุผลอะไร ที่เราทำเรามีเหตุผล ก็กูคิดอย่างนี้ไง เหตุผลของกูไง แต่ที่เขาทำเขาทำอย่างไร เขาทำเขามีที่มาที่ไปอย่างไร นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตตมงฺ เราปรึกษากันได้ เราเทียบเคียงกันได้ สิ่งที่ทำมามันมาจากไหน มันมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วมันเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือเปล่า?

ดูสิ เวลาเขาเถียงกันในเรื่องปริยัติ เห็นไหม อันนี้มาจากพระไตรปิฎก อันนี้มาจากอรรถกถา อันนี้มาจากฎีกา อันนี้มันไม่มีที่มาที่ไป นี่เวลาเขาว่าไง แต่ขณะเราให้มันมีที่มาที่ไป เราก็เคารพบูชาแล้ว แล้วเราก็มารักษาของเราไง นี่ไง เรารักษาของเรา เห็นไหม รวบรวมขึ้นมา อย่าให้แพแตก เวลาแพแตกขึ้นมา นี่บ่น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตีโพยตีพายตลอด

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว เราบวชมาแล้วก็เหมือนคนอนาถา ไม่มีใครดูแลเรา แล้วเวลาบวชขึ้นมาในหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์ก็ไม่สนใจ”

ไม่สนใจอะไร กิเลสมันถมเต็มไหม กิเลส ดูสิ เหมือนน้ำล้นฝั่ง มันจะถมอย่างไรให้เต็มความคิดของใครมันจะเอาเต็มไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรามาเสียสละ เรามามีสติปัญญา มันด้วยปัญญาขึ้นมามันถมเต็ม พอถมเต็มขึ้นมามันไม่ใช่ประเด็นเลย ไม่มีประเด็นอะไรให้ขัดแย้งกันเลย ไม่มีประเด็นอะไรให้ใครมาจับผิดได้เลย

ถ้ามันเต็มขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันเต็มขึ้นมามันคืออะไรล่ะ มันเต็มขึ้นมาหัวใจมันสมบูรณ์ไง แต่ถ้ามันขาดตกบกพร่องมันทุรนทุราย พอทุรนทุรายขึ้นมามันร้อนจากภายใน ผ้ากองอยู่เต็มห้อง ดูสิ ของของสงฆ์ในคลังผ้านี่ล้นเลย ไม่มีผ้าชิ้นไหนถูกใจแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เวลาของเรา เราเป็นภิกษุ เห็นไหม ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสาร ของอย่างนี้ ผ้า บริขาร ๘ สิ่งไว้ดำรงชีวิต เราก็ตัดเย็บของเรา เราก็ดูแลรักษาของเรา

เวลาผ้าของครูบาอาจารย์ ผ้าเก่าๆ จะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ แต่ท่านได้ซักได้ดูแลของท่าน ดูมันสวยงามไปหมด ดูมันนิ่มนวลไปหมด เพราะอะไร เพราะด้วยถูกต้องตามธรรมวินัย ถูกต้องตามธรรมวินัยเพราะว่าเวลาเราเคยธุดงค์มา พระเขาห่มผ้าไหม ผ้าไหมนี่เก่าจนมันกินตัวมันเองแล้วล่ะ พระบวชใหม่อยากได้ ไปตัดผ้าใหม่ๆ เลยมาแลกผ้าไหม พระนี่รีบให้เลยเพราะอะไร เพราะมันผุหมดแล้ว แต่เขาดูแลรักษาของเขา ไอ้คนที่ได้มาได้มาก็นี่ นี่ไงแพแตกไง ได้มาก็ผ้าไหมมันกินตัวมันแล้ว มันผุหมดแล้ว มันเปื่อยหมดแล้ว แต่เขารักษาของเขาด้วยธรรมวินัย ไอ้คนที่ไม่รู้เรื่องมันเห็นแต่เปลือกนอกไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริง เขาทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เขารักษาของเขา เขาดูแลของเขา นี่ก็เหมือนกันบริขาร ๘ ก็คือบริขาร ๘ มันอยู่ที่หัวใจที่รักษาดี เพราะหัวใจมันดีมันก็รักษาของไม่มีค่า มันก็ทำรักษาดีมันก็มีค่าขึ้นมา ของไม่สวยทำด้วยความสะอาด เห็นไหม ความสะอาดด้วยความบริสุทธิ์มันก็เป็นของดีขึ้นมา เป็นของดีของสายตาของคนที่มอง แล้วก็อยากได้อยากเป็น แต่ของเรานี่เราตัดผ้าไหม ผ้าดีงามมาหมดเลย ผ้าสุดยอดเลย แต่สุดท้ายแล้วเราปล่อยให้มันสกปรก ให้มันมีกลิ่นเหม็น มันจะดีตรงไหน

นี่ไง ถ้าหัวใจมันแตก เวลาบ้านแตกนะ มันมีปัญหาไปกับครอบครัวนั้น เราบวชมาเป็นพระ บวชมาเป็นพระ เห็นไหม เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าจิตใจมันท้อแท้มันก็หาทางออก มันพยายามหาเหตุผลของกิเลสไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็นิพพานไปแล้ว เราเกิดมานี่ขาดพ่อขาดแม่ ขาดคนที่ดูแล เราเกิดมาแล้วเราอุตส่าห์มาบวชในพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนาก็ไม่ปกป้องดูแลเราเลย ปล่อยให้เราทุกข์เรายาก ปล่อยให้เราขวนขวายอยู่คนเดียว ให้เราทุกข์เรายาก

นี่บ้านแตก มันมีแต่ความทุกข์ความยากไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสละราชวังออกมานี่ไม่มีศาสนา ท่านขวนขวายของท่าน ๖ ปี ท่านเผชิญกับความทุกข์ความยากมาขนาดไหน แต่เวลาท่านประพฤติปฏิบัติมาตามความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว นี่เสวยวิมุตติสุขไม่ต้องไปทุกข์ยากกับใครเลย เสวยวิมุตติสุข ขณะวิมุตติสุขมีอนาคตังสญาณ เห็นไหม รู้ว่าจะโปรดใคร จะสอนใคร เวลาโปรดใครสอนใครด้วยธรรมโอสถ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเข้าไปนะ ในใจของพระเจ้าพิมพิสาร ในใจของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในใจของพราหมณ์ ในใจของเขามันได้รสของธรรม มันมีเคารพ มีความศรัทธา มีความเชื่อ เห็นไหมลาภสักการะมันก็ตามมา

คำว่า ตามมา เพราะอะไร เพราะศรัทธาความเชื่อ เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา นั่นก็เป็นสมบัติของเขา เขามาสละทานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มันเกิดจากอะไร เกิดจากน้ำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีคุณธรรมในหัวใจ เทศนาว่าการขึ้นไปด้วยคุณธรรมอันนั้น มันเข้าไปเจือจานชำระล้างกดขี่กิเลสในใจของผู้ที่รับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นมันก็เป็นคุณ เป็นประโยชน์ขึ้นมา นี่สัจธรรมมันเป็นความจริงขึ้นมาอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารักษาของเรา เราดูแลของเรา รักษาศีลก็เท่ากับรักษาหัวใจของเรา ทำสมาธิขึ้นมาก็เพื่อค้นคว้าความจริงในหัวใจของเรา ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันพิจารณาของมันไป จิตสงบแล้วรำพึงเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มรรค ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา

เวลาเราต้องแสวงหา ตั้งสติของเราขึ้นมา ถ้ามีสติแล้วการประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะ พยายามทำของเราขึ้นมามันเกิดสัมมาสมาธิ เวลาเกิดสัมมาสมาธิเราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาของเราปัญญาในสติปัฏฐาน ๔ ปัญญาในเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วฝึกหัดของเรา

ฝึกหัด เห็นไหม มรรค ๘ เวลาฝึกหัดของเรา มันจะละเอียดรอบขึ้น ประพฤติปฏิบัติมาด้วยปัญญาของเรา ปัญญาเราแยกแยะขึ้นมา เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ ปัญญาเกิดจากศีลที่สมบูรณ์ขึ้นมามันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นชอบธรรม พิจารณาไปมันปล่อยวางๆ เป็นตทังคปหาน คือการฝึกหัดหัวใจของเราให้มันสมดุล ให้มันเป็นสมดุลของมัน นี่มัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุล ความพอดีของจิต ฝึกแล้วฝึกเล่า ฝึกแล้วฝึกเล่า

จนเวลามันสมดุล เห็นไหม มรรคสามัคคี มรรค ๘ มันสามัคคีกันโดยสัจจะ โดยความจริง โดยมรรคญาณ เวลามันพิจารณาของมันขึ้นไป เห็นไหม พิจารณาแล้วหนักในทางสมาธิ หนักในทางปัญญามันก็จะปล่อยวางได้ แต่มันไม่สมดุล ไม่สมดุลคือมันไม่สมุจเฉท พอมันสมุจเฉทปหานมันมรรคสามัคคี มันรวมเป็นสัจจะเป็นความจริง จะว่าเป็นหนึ่งเดียว ขณะเป็นหนึ่งนี้มันเป็นกิริยา เวลามันทำลายไปแล้วมันไม่มีหนึ่ง มันต้องทำลายให้สิ้นไป ถ้ามันทำลายสิ้นไปมันไม่ใช่หนึ่ง มันคือการทำลาย

การทำลาย เห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา ดับแล้วมันเหลืออะไร ขณะที่มันเกิดและขณะที่มันดับ เวลาเกิด เห็นไหม ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น ขณะที่มันเกิด เห็นไหม ขณะที่เกิดขึ้นมานี่สัจจะ ความจริง กิจจญาณ กิจจญาณคือการพิจารณาใคร่ครวญ แยกแยะ พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก นี่คือกิจจญาณ มีการกระทำ เห็นไหม

นี่เวลาการกระทำขึ้นมาด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา มันมีสมดุลของมันขึ้นมามันก็ปล่อยวางปล่อยวางขึ้นไปเป็นตทังคปหาน ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางเล่า ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางหนหนึ่งก็การกระทำที่ได้ผลหนหนึ่ง การได้หนหนึ่งๆ นั้นเป็นการฝึกหัด เป็นการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเห็นไหม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันมรรคสามัคคี มันสมดุล เวลาสมดุลทำลายหมดเลย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกเป็นส่วนเป็นสัดของมันขึ้นมา จิตนี้รวมลงได้ชำระล้างสำรอกคายออก จิตนี้รวมลงไปมันเหลืออะไร?

เหลืออกุปปธรรม เหลือสัจธรรม เหลือความจริงอันนั้น ความจริงอันนั้นมันเป็นความจริง ความจริงตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัป พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสเป็นองค์หน้า สัจธรรมก็สัจธรรม สติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นอันเดียวกัน สัจธรรมเป็นอันเดียวกัน อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนมีมากมีน้อย ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนามาก ทำสิ่งใดแล้วจิตใจเขาสมดุลมาได้เร็วขึ้น จิตใจของเขาเขาฝักใฝ่ไขว่คว้า เขาแสวงหาของเขา เขาทำของเขาแล้วเขาได้ประโยชน์ของเขา เขาได้ความจริงของเขา เขาได้สัจธรรม เห็นไหม ได้ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจของเขา

ความเชื่อความจริงอันนั้น ความเชื่อจากปัญญาของเรา ความเชื่อจากพยานในใจของเรา สิ่งต่างๆ ที่มันรู้ พอมันเห็นอย่างนั้นมันเป็นสมบัติของเรา แล้วตระเวนหาที่ไหน การศึกษาๆ ขนาดไหน ศึกษาได้มาแล้ว ศึกษามาได้ความรู้มา ความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่การศึกษามา เห็นไหม แต่ความจริงรู้มาขนาดไหนมันก็ยังมีตัวตนของเราอีกส่วนหนึ่ง จิตใต้สำนึกมันก็เป็นอีกตัวตนหนึ่ง พอเราศึกษามาศึกษาด้วยปัญญา ปัญญาที่เราไม่เข้าใจสิ่งใดเลยเราก็อยากเข้าใจ ศึกษามาเป็นปริยัติมันก็เข้าใจสิ่งนั้นขึ้นมา แต่ตัวตนของเรามันก็เป็นตัวตนแยกตัวตนไม่ยอมรับสิ่งใดทั้งสิ้น

เวลาทำความสงบของใจเข้ามา เวลาความสงบนั้นเข้าไปสู่ตัวตนอันนั้น เวลาตัวตนอันนั้นมันออกใช้ปัญญา ปัญญากระแสมันเข้าไปทำลาย เห็นไหม อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ปัจจยาการที่มันต่อยอดกันไป มันทวนกระแสกลับเข้าไปในหัวใจอันนั้น ถ้ามันทวนกระแสกลับเข้าไปอันนั้นด้วยตบะธรรม ด้วยสัจจะ ด้วยความจริง ด้วยตบะอันนั้นมันทำลายเข้าไป เวลามรรคมันสามัคคี เวลามันรวมตัวกัน ความสมดุลของมัน เวลามันขาด

จากแพแตกไง จับจรดมาแต่ข้างนอกไง จากจับต้นชนปลายไม่ได้ไง เวลาเกิดขึ้นมา เกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาด้วยบุญกุศลไง เวลาการกระทำมันก็ทำดีทำชั่ว ทำดีมันก็เป็นมรรค ทำชั่วมันก็เป็นบาป เป็นบาปอกุศล มันการกระทำความคิดดีคิดชั่วมาตลอด แต่มีการกระทำมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมา มันก็พยายามทำคุณงามความดีใฝ่ดีมาตลอดไง ถ้าใฝ่ดีมาตลอดนะ เวลากิเลสมันงอกงามขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามาก็มีความสุขไง เวลามันเสื่อมมันก็ท้อแท้

เวลาจิตของเรามีสติปัญญาขึ้นมามันก็คิดแต่เรื่องธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจิตมันเสื่อม เวลาเสื่อมมันก็คิดแต่เรื่องกิเลสไง คิดแต่เรื่องเพ่งโทษหาโทษพุทธศาสนาไง เพ่งโทษธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่ากิเลสนี้มันยิ่งใหญ่ ความคิดของเรามันยิ่งใหญ่มีเหตุมีผล ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสูตรสำเร็จตายตัวไม่มีเหตุมีผล กิเลสมันยิ่งใหญ่ เวลามันยิ่งใหญ่มันก็ยุก็แหย่ มันก็ยุแหย่ทำให้เราทำลายตัวเอง ทำลายอำนาจวาสนาของตัว ทำลายวาสนาบารมีของตัว

แพแตก บ้านแตกสาแหรกขาด ศรัทธาโดนทำลาย ทุกอย่างทำลายตัวเองหมด นี่ไง เวลามันแพแตกมันทุกข์ยากมาจากไหน ใครเป็นคนทำ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมะนี้ไม่เคยเสื่อม สัจธรรมก็มีของมันอยู่ดั้งเดิม สัจธรรมเป็นความจริงของมันดั้งเดิม แต่หัวใจมันหยาบช้า มันเข้าถึงสัจธรรมอันนั้นไม่ได้

แต่ถ้าหัวใจมันมีอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม พยายามดัดแปลงตนเอง พยายามบังคับตนเอง พยายามสร้างสมตนเอง สร้างสติ สร้างสมาธิ สร้างปัญญาขึ้นมา การกระทำขึ้นมาพยายามกระทำขึ้นมา เห็นไหม มันจะเข้าสู่สัจธรรมอันนั้น มันไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกบ้านแตกสาแหรกขาด เก็บข้าวของแล้วพเนจรไป แล้วก็โวยวายตีโพยตีพาย กึ่งพุทธกาลแล้วมรรคผลไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยมองเราเลย ใครๆ ก็เอาแต่ตัวรอด ทิ้งให้เราทุกข์อยู่เนี่ย

นี่ไงเวลาแพแตก บ้านแตกสาแหรกขาดเขายังมี UN นะ UN เข้ามาให้เป็นผู้ลี้ภัย เขายังส่งเสีย เวลากิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจไม่มีใครเห็น ไม่มีใครดูแล ไม่มีใครมาเอาอกเอาใจ ทุกข์ยากมาก อันนี้มันเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเหยียบย่ำทำลาย เราจะต้องมีสติ

เราเกิดมาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาบวชเป็นพระ ได้บวชเป็นพระแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์มีอยู่ แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ท่านปกป้องคุ้มครองเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ท่านไม่เชิดชูกิเลสเด็ดขาด

กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเที่ยวเหยียบย่ำทำลายไปทุกสิ่ง ของดีๆ มันก็ทำให้เสีย หมู่คณะที่รักกันชอบดีกันอยู่ มันก็ยุแหย่แตกแยก ทำแต่ความพินาศเพื่อจะให้ตนเองโดดเด่นขึ้นมา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย กิเลสไม่เคยให้ผลดีกับใคร ทำลายโดยไม่รู้ตัว ทำลายสารพัด ทำลายแม้แต่โอกาสของตัวเอง ถ้าทำลายโอกาสของตัวเองแล้วคนอื่นล่ะ คนอื่นยิ่งประพฤติปฏิบัติได้ยากขึ้น

แต่ถ้าเราไม่ทำลายโอกาสของตัว เราอยู่ในที่สงบสงัดของเรา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ทุกดวงใจเวลาประพฤติปฏิบัติต้องการความสงบระงับ ต้องการสัปปายะ ต้องการสถานที่ที่ร่มเย็นเป็นสุข ต้องการอาหารที่พอดำรงชีพ ต้องการหมู่คณะที่ให้โอกาสต่อกัน เราต้องการคุณงามความดีทั้งนั้นเลย แต่ทำไมเราไม่ให้คุณงามความดีคนอื่นบ้างล่ะ ทำไมเราไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้างล่ะ เราก็ต้องการสิ่งนั้น ทุกคนก็ต้องการสิ่งที่เราอยากต้องการนั้นแหละ ถ้าทุกคนต้องการ เราก็ต้องให้โอกาสเขา

เรา เห็นไหม เราจะลอนสิทธิ์ของเราด้วยสิทธิของคนอื่นไง คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน เขาก็เป็นพระเหมือนกัน เขาก็บวชมาถูกต้องตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เขาก็เป็นพระเท่าเรานี่แหละ มันเป็นพระเสมอกันด้วยศีลสมบูรณ์ไง อุปัชฌาย์ยกเข้ามาแล้วไง เราเป็นสมมุติสงฆ์ด้วยกันไง ฉะนั้น เราจะต้องทำของเราให้มันเป็นสมานสามัคคี ให้มันอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าอยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไม่มีความระแวง คำว่าระแวง เวลาไปนั่งสมาธินี่มันลงไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่มีสิ่งนี้มาสะเทือนหัวใจ ทุกคนก็นั่งสมาธิภาวนาได้ง่ายขึ้น ทุกคนก็ทำสิ่งดีให้มากขึ้น

ฉะนั้น มันถึงไม่ใช่แพแตกบ้านแตกสาแหรกขาด ถ้าบ้านแตกสาแหรกขาดเราก็เห็นนะ เห็นแล้วเราก็สงสาร เราก็เกิดธรรมสังเวช แต่เวลาหัวใจเรามันแตก ใจแตก ใจคิดแต่เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่เคยคิดเข้าสู่ธรรมะเลย ไม่เคยมีสติสัมปชัญญะยับยั้งมันได้เลย เวลาหัวใจแตกไม่มีใครดูแล เราจะต้องดูแลหัวใจของเรา เราพยายามรักษาใจของเรา อย่าให้หัวใจมันแตก แล้วมีสติปัญญามันก็รวบรวมเข้ามาด้วยความสมบูรณ์ ด้วยความเป็นเอกภาพ พอเอกภาพ พุทโธๆๆๆ จนมันปล่อยพุทโธ มันยิ่งเป็นจิตหนึ่ง

ขณะที่เป็นเอกภาพ คือ จิตใจของเรามันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมายุมาแหย่ มันจะทำสิ่งใดมันก็อบอุ่น แล้วมันก็ทำได้ แล้วเวลาพุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้ พุทโธมันเป็นสมมุติ พุทโธมันเป็นสัญชาตญาณ เรากำหนดพุทโธมันก็เป็นพุทธานุสติขึ้นมา พุทโธๆ ถ้ามันพุทโธไม่ได้นี่คือตัวมัน ถ้ามันยังพุทโธได้อยู่ นี้คือระหว่างที่ระหว่างโลก เห็นไหม ระหว่างโลกคือระหว่างโลกทัศน์กับจะเข้าสู่สัมมาสมาธิ มันต้องมีข้อเท็จจริงของมัน จิตมีหยาบมีละเอียด จิตเวลาภาวนามยปัญญาขึ้นไปมันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา ผู้รู้กับผู้รู้เขารู้เขาเห็น เราจะเอาแต่สัญชาตญาณของเราแล้วมาคุยโม้คุยอวด มันเป็นไปไม่ได้ ผู้รู้เขามี ครูบาอาจารย์มี ไม่ใช่พระผู้เฒ่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วดีแล้ว เราจะได้อยู่สุขอยู่สบายกันเสียที ไม่มีคนจ้ำจี้จ้ำไช”

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราก็เอาแต่สัญญาอารมณ์ของเราว่า เรารู้เราเห็น ผู้รู้เขามี ครูบาอาจารย์เขามี คนเป็นจริงเขามี เพราะมีอยู่อย่างนี้กรรมฐานเราถึงมั่นคง เพราะเรามีครูบาอาจารย์อย่างนี้ กรรมฐานของเราถึงมีคนนับหน้าถือตา เพราะมีความจริงอยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้ความจริงมันถึงประจักษ์ ทำความจริงขึ้นมาให้หัวใจเรามั่นคง อย่าปล่อยให้กิเลสมันยุมันแหย่ บ้านแตกสาแหรกขาด หัวใจให้กิเลสมันยุมันแหย่ โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย

ครูบาอาจารย์ท่านรู้ท่านเห็น แต่มันเป็นที่วุฒิภาวะของคนที่จะรับได้หรือรับไม่ได้ รับไม่ได้ก็ไม่ยอมรับว่ามันเป็นจริง ถ้ารับได้มันจะตั้งต้นแล้วพยายามขวนขวาย สร้างคุณงามความดีให้ใจดวงนี้ตั้งมั่น ให้ใจดวงนี้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอัตตัตถสมบัติกับใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามตามความเป็นจริง เอวัง

ลว